แคนนอนเปิดตัวกล้องวิดีโอ 4K รุ่นใหม่จากตระกูล “XA Series”

แคนนอน (Canon) ประกาศพร้อมจำหน่ายกล้องบันทึกวิดีโอระดับมืออาชีพใหม่ล่าสุดในตระกูล “XA Series” ทั้งรุ่น XA65[1]/XA60 ที่เน้นดีไซน์น้ำหนักเบา พกพาสะดวก และรุ่น XA751/XA70 สำหรับผู้ที่ต้องการภาพถ่ายคุณภาพสูง อัปเกรดประสิทธิภาพการถ่ายวิดีโอแบบฟูลออปชัน พร้อมลุยงานไลฟ์สตรีมมิ่งนอกสถานที่แบบจัดเต็ม พร้อมเปิดตัวเลนส์และอุปกรณ์เสริมเพื่องานคุณภาพสูงระดับบรอดคาสต์รุ่นใหม่ล่าสุด

กล้องบันทึกวิดีโอระดับมืออาชีพในตระกูล XA Series ของแคนนอน มอบภาพถ่ายคุณภาพสูงแบบคมชัดจัดเต็ม พร้อมงานออกแบบบอดี้ที่จับถือง่าย ตอบโจทย์การถ่ายงานภาคสนามทั้งการถ่ายทอดสด การรายงานข่าว การถ่ายทำสารคดี หรืองานอีเวนต์ครั้งสำคัญ โดยเฉพาะรุ่น XA75 และ XA70 ยังคงประสิทธิภาพงานวิดีโอขั้นสูงระดับมือโปรเช่นเดียวกับรุ่นก่อนหน้า[2] โดยเพิ่มฟีเจอร์ใหม่รองรับมาตรฐาน UVC protocol (USB Video Class) ที่ให้สามารถโอนไฟล์วิดีโอผ่านพอร์ต USB ได้อย่างง่ายดาย ทำให้กล้องทั้งสองรุ่นนี้เหมาะสำหรับการไลฟ์สตรีมวิดีโอและการสร้างคอนเทนต์ซึ่งกำลังเป็นเทรนด์ยอดฮิตในปัจจุบัน
 


XA75 และ XA70 ใช้เซ็นเซอร์ CMOS ขนาด 1 นิ้ว หน่วยประมวลผลภาพ DIGIC DV 6 และมาพร้อมเลนส์ที่ออกแบบมาเพื่องานวิดีโอความละเอียดสูงระดับ 4K ซูมออพติคอล 15 เท่า โดยสามารถซูมได้ตั้งแต่มุมกว้างเทียบเท่าระยะ 25.5 มม. ไปจนถึงระยะเทเลโฟโต้ที่ 382.5 มม.[3] และสามารถบันทึกวิดีโอคุณภาพสูงความละเอียด 4K/30p ตลอดช่วงการซูม อีกทั้งการใช้เซ็นเซอร์ขนาดใหญ่ยังช่วยเบลอพื้นหลังให้กับวิดีโอฟุตเทจได้อย่างสวยงาม สว่าง ให้รายละเอียดของภาพครบแม้ในสภาวะแสงน้อย และมีสัญญาณรบกวน (Noise) ต่ำ นอกจากนี้เทคโนโลยี Dual Pixel CMOS AF ของแคนนอนที่นำมาใช้ในกล้อง XA75 และ XA70 ยังช่วยให้ระบบออโต้โฟกัสและติดตามวัตถุ (Subject Tracking) ในขณะการบันทึกวิดีโอ สามารถทำได้แม่นยำ ลื่นไหล และมีประสิทธิภาพ และเมื่อใช้งานร่วมกับหน้าจอสัมผัสจะยิ่งทำให้สามารถโฟกัสได้อย่างรวดเร็ว และแม่นยำยิ่งขึ้น ไม่พลาดแม้ในขณะบันทึกวิดีโอด้วยความละเอียด 4K ที่ต้องการความแม่นยำสูง
 


ส่วนกล้องบันทึกวิดีโอรุ่น XA65 และ XA60 มาพร้อมเซ็นเซอร์ CMOS ขนาด 1/2.3 นิ้ว หน่วยประมวลผลภาพ DIGIC DV 6 และมาพร้อมเลนส์ที่ออกแบบมาเพื่องานวิดีโอความละเอียดสูงระดับ 4K ซูมออพติคอล 20 เท่า ตัวกล้องมีขนาดกะทัดรัด น้ำหนักเบา มีขนาด 109 x 84 x182 มม. (กว้าง x สูง x ยาว) และมีน้ำหนักราว 750[4] กรัมเท่านั้น รองรับการบันทึกวิดีโอคุณภาพสูงความละเอียด 4K/30p ตลอดช่วงการซูม โดยมุมกว้างสุดที่ระยะ 29.3 มม. และซูมเทเลโฟโต้สูงสุดที่ระยะ 601 มม.3 นอกจากนี้ข้อมูลที่ได้จากเซ็นเซอร์ 4K ยังสามารถนำมาทำ Over Sampling HD Processing เพื่อบันทึกเป็นวิดีโอความละเอียดสูงแบบ Full-HD/60p ได้อีกด้วย

กล้องบันทึกวิดีโอทั้ง 4 รุ่น ยังเป็นกล้องกลุ่มแรกในตระกูล XA Series ที่รองรับการเชื่อมต่อ UVC ทำให้สามารถถ่ายสตรีมมิ่งคุณภาพสูงได้อย่างง่ายดายเพียงใช้สาย USB (Type-C) เพียงเส้นเดียว นอกจากนี้ใช้จอทัชสกรีนแบบ Electrostatic Capacitance-type LCD ขนาดใหญ่และสว่างคมชัดขนาด 3.5 นิ้ว ความละเอียด 2.76 ล้านจุด รวมถึงช่องมองภาพ EVF (Electronic View Finder) ปรับพลิกได้ขนาด 0.36 นิ้วความละเอียด 1.77 ล้านจุด ช่วยให้การมองภาพระหว่างการถ่ายทำกลางแจ้งทำได้ดีขึ้น อีกทั้งยังมีฟังก์ชั่นซูมดิจิทัลที่เพิ่มระยะการซูมให้ไกลขึ้น และฟังก์ชั่น “Text Overlay” OSD (On-Screen Display) ที่ใช้ในการแสดงข้อมูลการถ่ายทำต่างๆ เช่น วันที่ และพิกัดเวลาการถ่าย (Timecodes) บนภาพ เพิ่มความยืดหยุ่นในการถ่ายคลิปวิดีโอที่รองรับทุกสถานการณ์

นอกจากนี้ แคนนอนยังประกาศเปิดตัวเลนส์ และอุปกรณ์เสริมเพื่อเสริมแกร่งประสิทธิภาพการถ่ายทำวิดีโอระดับมืออาชีพให้สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น ได้แก่

  • CN8 x 15 IAS S/E1 (EF Mount) และ CN8 x 15 IAS S/P1 (PL mount) เลนส์ใหม่ล่าสุดในตระกูล CINE-SERVO[5] ครอบคลุมการถ่ายวิดีโอ ทั้งการถ่ายมุมกว้าง (Wide) ไปจนถึงการถ่ายเทเลโฟโต้ (Telephoto) สามารถใช้งานได้หลากหลายสถานการณ์ อาทิ การถ่ายทำในสถานีโทรทัศน์ การถ่ายทำงานโฆษณา งานโปรดักชั่นไลฟ์สตูดิโอ และรวมถึงการถ่ายทอดสดงานกีฬาต่าง ๆ
    image.png
เลนส์ EF Cinema รุ่นใหม่ประสิทธิภาพสูงที่รองรับการใช้งานร่วมกับกล้องบันทึกวิดีโอความละเอียดสูงระดับ 8K ที่ใช้เซ็นเซอร์ขนาดใหญ่ (Large-format) ให้มุมกว้างสุดที่ 15 มม. และซูมออพติคอลได้ 8 เท่า นอกจากนี้ยังมาพร้อมอุปกรณ์เพิ่มความยาวโฟกัสในตัว (Built-in extender) อีก 1.5 เท่า นอกจากนี้ยังมีคุณสมบัติเด่นอื่นๆ มากมายที่เป็นที่ทำให้เลนส์ในตระกูล CINE-SERVO นิยมในหมู่ผู้ใช้งาน และยังตอบโจทย์ของผู้ที่ต้องการใช้งานภาพมุมกว้างอีกด้วย  นอกจากให้รายละเอียดของภาพที่คมชัดเมื่อใช้งานร่วมกับกล้องเซ็นเซอร์ Large-format แล้ว ตัวเลนส์ยังมีขนาดกะทัดรัดและน้ำหนักเบา เหมาะสำหรับการใช้งานร่วมกับกล้องวิดีโอแบบพาดบ่าได้อย่างลงตัว รวมถึงมี Removable Drive Unit อีกด้วย และนอกจากจะเป็นเลนส์มุมกว้างแล้ว ยังให้ภาพคุณภาพสูงระดับภาพยนตร์ และรองรับงานวิดีโอโปรดักชั่นแบบถ่ายทอดสด (Broadcast-style) เหมาะสำหรับการใช้งานในทุกสถานการณ์ ทั้งการถ่ายทำรายการโทรทัศน์ งานภาพยนตร์โฆษณา การถ่ายทอดสดจากในสตูดิโอ การถ่ายทอดสดการแข่งขันกีฬา และอีกมากมาย เรียกได้ว่าเป็นเลนส์อเนกประสงค์ก็ว่าได้
 
เลนส์ CN8 x 15 IAS S/E1 และ CN8 x 15 IAS S/P1 สามารถใช้งานร่วมกับกล้องที่ใช้เซ็นเซอร์ขนาด Large-format (เทียบเท่า Super 35 มม.) มีความยาวโฟกัสที่ 15-120 มม. แบบออพติตอลคุณภาพสูง เลนส์รุ่นนี้มาพร้อมประสิทธิภาพที่เหนือกว่าเมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้า[6] ทั้งยังปรับปรุงให้มีขนาดกะทัดรัด และน้ำหนักเบาขึ้น เพื่อสะดวกต่อการเคลื่อนย้าย และง่ายต่อการทำงานร่วมกับกล้องแบบพาดบ่า

เมื่อใช้งาน Built-in extender 1.5x เลนส์ CN8 x 15 IAS S/E1 และ CN8 x 15 IAS S/P1 จะสลับมาเป็นช่วงความยาวโฟกัส 22.5-180 มม. และด้วย Image Circle ที่กว้างกว่าทำให้สามารถใช้เลนส์รุ่นนี้กับกล้องเซ็นเซอร์ฟูลเฟรม 35 มม. อาทิ กล้องถ่ายภาพยนตร์แคนนอน EOS C500 Mark II รวมถึง EOS R5 C[7] และด้วยความสามารถในการรองรับการใช้งานร่วมกับกล้องเซ็นเซอร์ Large-format ได้อย่างครอบคลุม จึงตอบโจทย์งานโปรดักชั่นที่ต้องการโทนภาพแบบภาพยนตร์ ซึ่งเป็นการถ่ายภาพด้วยระยะชัดตื้น (shallow depth-of-field)

นอกจากรองรับมาตรฐานโปรโตคอลการสื่อสารแบบ 12-pin serial ที่ใช้ในระบบกล้องถ่ายทอดสด เลนส์ชุดนี้ยังรองรับฟังก์ชันการส่งสัญญาณผ่านเมาท์ของตัวเลนส์ได้ด้วย โดยเลนส์รุ่น CN8 x 15 IAS S/E1 รองรับการสื่อสารบน EF Mount[8]  ในขณะที่รุ่น CN8 x 15 IAS S/P1 รองรับโปรโตคอล /i Technology ที่พัฒนาโดย Cooke Optics รวมถึงเทคโนโลยี eXtended Data ของ ZEISS ด้วยความสามารถในการสื่อสารข้อมูลของชุดเลนส์ไปยังตัวกล้องผ่านทางเมาต์ของเลนส์ได้ในระกว่างการบันทึก ทำให้เลนส์รุ่นนี้เปี่ยมประสิทธิภาพการทำงาน ไม่เพียงในระหว่างการบันทึก แต่ยังช่วยในขั้นตอนการทำเทคนิคพิเศษ (VFX[9]) และการตัดต่อหลังการถ่ายทำ โดยเลนส์ CN8 x 15 IAS S/E1และ CN8 x 15 IAS S/P1 กำหนดวางจำหน่ายในช่วงต้นปี 2023 เป็นต้นไป

  •  DP-V2730 27-inch Reference Display
    image.png
จอแสดงผลสำหรับอ้างอิงขนาด 27 นิ้วรุ่นใหม่นี้ มาเสริมไลน์อัพผลิตภัณฑ์กลุ่มวิดีโอโปรดักชั่น เพื่องาน broadcast relay vehicles, sub-control rooms และการถ่ายทำภาพยนตร์หรือรายการทีวีนอกสถานที่ โดยปรับปรุงคุณภาพภาพพื้นฐานให้ดีขึ้นกว่ารุ่นก่อนหน้า[10] รวมถึงส่วนประกอบสำคัญอื่น ๆ อาทิ หน่วยแสดงผลภาพคุณภาพสูง อัลกอริธึมความละเอียดสูงรุ่นปรับปรุงใหม่ พาแนล และระบบแบล็กไลต์ มาพร้อมดีไซน์ตัวเครื่องกะทัดรัดน้ำหนักเบา เหมาะสำหรับการตรวจเช็คงานหลังถ่ายและตัดต่อไฟล์งานระดับ 4K ซึ่งไม่เฉพาะงานผลิตวิดีโอแบบดั้งเดิมเท่านั้น แต่ยังเหมาะกับการใช้งานจากระยะไกล เนื่องจากพื้นที่ที่มีจำกัด เช่นการถ่ายทำในสำนักงาน หรือที่พักอาศัยส่วนตัว จอแสดงผลสำหรับอ้างอิงรุ่น DP-V2730 ยังตอบโจทย์มาตรฐาน  HDR[11] และให้ภาพคุณภาพสูง มอบคุณภาพระดับเดียวกับรุ่นยอดนิยมอย่าง DP-V1830 ขนาด 18 นิ้ว (วางจำหน่ายเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2565) โดยรองรับการทำงานได้หลากหลายรูปแบบ และหลายเวิร์คโฟลว์ ทั้งในอุตสาหกรรมการถ่ายทอดสดและงานผลิตวิดีโอ

DP-V2730 ยังมาพร้อมเทคโนโลยีขั้นสูงเอกสิทธิ์ของแคนนอน สามารถเร่งความสว่างได้สูงถึง 1,000 cd/m2 สำหรับความสว่างของสีขาว รวมถึงปรับปรุงการแสดงผลในส่วนสีดำและคอนทราสต์ เพื่อให้สามารถใช้ในการตรวจสอบภาพในส่วนมืดของภาพหรือในส่วนที่มีคอนทราสต์สูง (High-contrast) นอกจากนี้ จอแสดงผลรุ่นนี้ยังให้ขอบเขตสีกว้าง(wide color gamut) ตามค่าแนะนำตามมาตรฐาน ITU-R BT.2020[12] และรูปแบบการตั้งค่าออพติคอลเอกสิทธิ์ของแคนนอนยังช่วยลดค่าความแปรผันของความสว่างและสี ประกอบกับองศาการแสดงภาพยังกว้างพอสำหรับให้ผู้ใช้งานสามารถดูจอแสดงผลพร้อมกันได้หลายคนโดยที่ภาพไม่ผิดเพี้ยน

เมื่อเทียบกับจอแสดงผลรุ่น DP-V2421 ขนาด 24 นิ้ว จอรุ่น DP-V2730 ขนาด 27 นิ้วมีขนาดจอใหญ่กว่าถึง 1.3 เท่า ทำให้มองเห็นได้ชัดเจนกว่า ทั้งมีดีไซน์เพรียวบาง[13] โดยมีความกว้างลดลงราว 41 มม. ทำให้ใช้งานในที่แคบได้สะดวกมากขึ้น อาทิ การถ่ายทอดสดในยานพาหนะหรือในห้องควบคุมการถ่ายทำย่อย (sub-control rooms) นอกจากนี้ ด้วยหน้าจอขนาดเล็กกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับรุ่น 30-32 นิ้ว ที่ใช้ในการเกรดสีวิดีโอ ทำให้จอแสดงผลรุ่น DP-V2730 เหมาะกับงานผลิตวิดีโอและการตัดต่อได้หลากหลายสถานการณ์ ไม่ว่าจะเป็นในสำนักงานหรือพื้นที่พักอาศัยส่วนตัวซึ่งมีพื้นที่จำกัด

จอแสดงผลรุ่นใหม่นี้ยังติดตั้งฟังก์ชันยอดนิยมอย่าง HDR Monitoring Assist เช่นเดียวกับรุ่นก่อน ช่วยให้ผู้ใช้สามารถตรวจวิดีโออินพุตและข้อมูลสัญญาณทั้งหมดได้อย่างง่ายดายในจอเดียว สามารถเห็นข้อมูลสำคัญ ตรวจทานและตัดต่องานวิดีโอได้ละเอียดยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ด้วยฟังก์ชันการแสดงผลแบบมัลติสกรีน (Multi-Screen Display)[14] ผ่านการต่อพอร์ตวิดีโออินพุต SDI/HDMI และฟังก์ชั่น Switchout[15] จึงช่วยลดจำนวนอุปกรณ์และเพิ่มพื้นที่การถ่ายทำวิดีโอให้มีมากขึ้น โดยจอแสดงผลสำหรับอ้างอิงรุ่น DP-V2730 มีกำหนดวางจำหน่ายปลายเดือนกุมภาพันธ์ 2566 เป็นต้นไป
 
  • EU-V3 Expansion Unit อุปกรณ์เสริมสำหรับกล้องภาพยนตร์ เพิ่มการใช้งานไลฟ์วิดีโอถ่ายทอดสดเหตุการณ์ต่างๆ
    image.png
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา มีกระแสความนิยมการถ่ายภาพชัดตื้นและการเบลอพื้นหลังให้สวยเนียนตาในการบันทึกภาพบรรยากาศงานคอนเสิร์ตและรวมถึงการถ่ายทอดสดงานอีเวนต์ต่างๆ เพื่อตอบสนองต่อความต้องการและแทรนด์ที่กำลังมาแรงนี้ แคนนอนขอแนะนำ EU-V3 Expansion unit อุปกรณ์เสริมภายนอกที่จะทำให้กล้องแคนนอน EOS C500 Mark II และ EOS C300 Mark III สามารถใช้ถ่ายทอดสดงานวิดีโอในอีเวนต์ต่างๆ เสริมความสามารถ และช่วยผลักดันประสิทธิภาพการใช้งานกล้องทั้งสองรุ่น ที่โดดเด่นเรื่องคุณภาพจากการใช้เซ็นเซอร์แบบ Large-format ที่สามารถถ่ายทอดงานวิดีโอคุณภาพสูง เก็บครบทุกรายละเอียด และสวยงามน่าประทับใจ

เมื่อติดตั้งอุปกรณ์ EU-V3 เข้ากับกล้อง EOS C500 Mark II หรือ EOS C300 Mark III จะเป็นการเพิ่มช่องต่อสายอินพุต/เอาต์พุตที่จำเป็นสำหรับงานวิดีโอถ่ายทอดสด พร้อมฟีเจอร์พิเศษอื่นเพื่องานถ่ายทอดสด รวมถึงฟังก์ชั่น “Tally” ที่ช่วยระบุว่ากล้องตัวไหนกำลังจับภาพอยู่ และฟังก์ชั่น “Return” ที่แจ้งให้ผู้ใช้งานทราบว่ากล้องตัวไหนกำลังปล่อยสัญญาณถ่ายทอดสดอยู่ นอกจากนี้ อุปกรณ์ยังรองรับฟังก์ชั่น “Focus Position Guide” ที่ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถกำหนดจุดโฟกัสที่ต้องการและแสดงจุดโฟกัสปัจจุบันบนจอแสดงผล ทำให้สามมรถจับโฟกัสในจุดที่ต้องการได้อย่างรวดเร็วในขณะบันทึกวิดีโอ

ในการใช้งานอุปกรณ์ Expansion Unit EU-V3 ร่วมกับกล้อง EOS C500 Mark II หรือ EOS C300 Mark III จำเป็นต้องติดตั้งเฟิร์มแวร์ก่อน ซึ่งแคนนอนจะปล่อยใช้งานฟรีในช่วงกลางเดือนตุลาคม 2565 นี้ เมื่อติดตั้งเฟิร์มแวร์แล้ว กล้องจะรองรับทั้งการเชื่อมต่อ IP[16], XC Protocol ของแคนนอน ทำให้สามารถควบคุมกล้องผ่านเน็ตเวิร์คได้ นอกจากนี้ จะมีเฟิร์มแวร์ใหม่นี้จะทำให้กล้องรองรรับการใช้งานร่วมกับเลนส์ภาพยนตร์เมาท์ EF รุ่น CN8 x 15 IAS S/E1 และ CN8 x 15 IAS S/P1 EF รวมถึงสามรถแสดงค่าพารามิเตอร์เสียงได้ 4 ชาแนลและฟังก์ชั่นอื่น ๆ โดยอุปกรณ์ Expansion Unit EU -V3 มีกำหนดวางจำหน่ายประมาณเดือนมกราคม 2566 เป็นต้นไป