Facebook 3D Photo แปลงภาพ 2D เป็น 3D สำหรับสมาร์ทโฟนทุกรุ่น

ย้อนไปเมื่อปี 2018 Facebook เปิดตัวฟีเจอร์ '3D Photo' ที่อาศัยเลนส์ของมือถือที่มีทางยาวโฟกัสต่างกัน 2 ตัวขึ้นไปเพื่อสร้างมิติให้กับภาพถ่ายให้มีมุมมองแบบ 3D มีความตื้นลึกและสามารถขยับมือถือเพื่อมองได้หลายมุม ซึ่งแน่นอนว่าจะทำได้ก็ต่อเมื่อใช้มือถือที่มีกล้องแบบ Dual Camera บนสมาร์ทโฟนราคาแพงเท่านั้น

ข่าวดีของวันนี้คือ Facebook สามารถพัฒนาเทคนิค AI ที่สามารถทำให้มือถือทุกเครื่องสามารถวิเคราะห์ภาพถ่ายจากกล้องเลนส์เดียว (2D) มาแปลงเป็นภาพ 3D ได้ หมายความว่าไม่ว่าคุณจะใช้มือถือรุ่นไหน ก็สามารถใช้งานฟีเจอร์ 3D Photo ได้แล้วนั่นเอง

ความก้าวหน้านี้ทำให้ผู้ใช้งานหลายล้านคนสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีภาพถ่าย 3 มิติได้ ลองคิดดูว่ามันจะน่าตื่นเต้นขนาดไหนที่เราสามารถนำภาพถ่ายครอบครัวอายุหลายสิบปี หรือภาพความทรงจำที่มีค่าในวาระต่างๆ มาปรับโฉมใหม่เป็นภาพสามมิติ

วิธีการแปลงภาพ 2D เป็น 3D Photo บนแอพฯ Facebook ด้วยสมาร์ทโฟนทุกรุ่น

1. ที่หน้า Feed แตะที่ 'คุณกำลังรู้สึกอย่างไร' หรือ 'What’s on your mind'
2. เลื่อนรายการรูปแบบโพสต์ลงมาด้านล่าง แตะ ‘3D Photo’
3. เลือกรูปภาพจาก Gallery
4. รอประมวลผลซักครู่ ภาพ 3D Photo จะปรากฏบนโพสต์

 

อย่างไรก็ตาม ฟีเจอร์ 3D Photos มีข้อจำกัดการใช้งานบางประการคือ ผู้ใช้งานไม่สามารถแก้ไขภาพ สามารถโพสต์ได้ภาพเดียวต่อโพสต์ โพสต์ใส่อัลบั้มไม่ได้ และหากโพสต์ในฐานะของ Page ก็จะไม่สามารถบูสโพสต์ได้

เทคนิคเบื้องหลังการแปลงภาพ 3 มิติ
Facebook ระบุว่าการแปลงภาพธรรมดาให้เป็น 3 มิติมีความท้าทายด้านเทคนิคหลายด้าน ทั้งการฝึกให้ AI สามารถแยกวัตถุหลักในภาพจากฉากหลังเพื่อสร้างมุมมองหลายมิติได้อย่างถูกต้อง และต้องทำให้มันสามารถรันบนโปรเซสเซอร์ของสมาร์ทโฟนทั่วไปได้โดยใช้เวลาสั้นๆ

ทีม 3D Photos ของ Facebook ได้ทำการสร้างเครือข่ายประสาทเทียมและป้อนข้อมูลภาพ 3 มิตินับล้านๆ ภาพร่วมกับข้อมูล Depth Maps เพื่อสร้างฐานอัลกอริทึมเตรียมไว้สำหรับการใช้งานบนอุปกรณ์โมบายล์ที่ส่วนใหญ่มีพลังประมวลผลจำกัด

ในการพัฒนาให้ระบบ AI สามารถตรวจสอบภาพถ่ายและแยกแยะวัตถุออกจากฉากหลังได้รวดเร็วขึ้น ทีมงาน 3D Photos ได้ใช้อัลกอริทึมของ ‘ChamNet’ ที่พัฒนาโดย Facebook AI Research โดยในช่วงแรกนั้นการค้นหาโมเดลที่เหมาะสมสำหรับการแปลงภาพ 3 มิติบนระบบที่ติดตั้งกราฟิกการ์ด Nvidia Tesla V100 จำนวน 800 ตัวต้องใช้เวลาถึง 3 วัน จนในที่สุดเมื่อได้ชุดข้อมูลที่สมบูรณ์แล้ว จึงนำมาลดจำนวนไบต์ข้อมูลเป็น 8 บิตเพื่อความรวดเร็วในการประมวลผล

ในอนาคต Facebook ตั้งใจที่จะใช้เทคนิคนี้กับวิดีโอที่ถ่ายด้วยโทรศัพท์มือถือด้วย (3D Videos) รวมไปถึงการประมวลผลแบบเรียลไทม์ซึ่งจะทำให้ประสบการณ์การใช้งาน AR (Augmented Reality) มีความน่าตื่นตาตื่นใจมากยิ่งขึ้น ที่สำคัญคือการช่วยให้บรรดา AI ในระบบนำทางและหุ่นยนต์ต่างๆ สามารถเข้าใจสภาพแวดล้อมแบบ 3 มิติเพื่อการมีปฏิสัมพันธ์กับวัตถุบนโลกจริงได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

ข้อมูล: Facebook Blog