7 สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงเมื่อจะวัดความเร็ว Wi-Fi ภายในบ้าน

จริงๆ แล้ว เครื่องมือ Speed Test ทั้งแบบแอพพลิเคชันหรือบนหน้าเว็บไซต์ที่เราใช้งานกันนั้นไม่ได้ถูกออกแบบมาให้ทดสอบความเร็ว Wi-Fi โดยตรง แต่เป็นการทดสอบความเร็วอินเทอร์เน็ตระหว่างอุปกรณ์ของเรากับผู้ให้บริการ ซึ่งอินเทอร์เน็ตภายในบ้านส่วนใหญ่จะใช้เราเตอร์เป็นตัวกลางระหว่างผู้ใช้กับ ISP และอาศัย Wi-Fi เพื่อให้อุปกรณ์ของคุณเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้ ด้วยเหตุนี้มันจึงเป็นวิธีที่สะดวกและใช้ประเมินคุณภาพของ Wi-Fi ได้เช่นกัน โดยใช้ความเร็วการอัพโหลดและดาวน์โหลดของอินเทอร์เน็ตเป็นตัวชี้วัด

ทว่าสิ่งที่เราจะพูดถึงกันในครั้งนี้จะไม่ขออธิบายถึงวิธีการวัดค่าของเครื่องมือ Speed Test หรือความเข้าใจเกี่ยวกับค่า Ping Rate หรือ Latency รวมถึงการตั้งค่าเราเตอร์ไร้สายอย่างถูกต้อง แต่จะแนะนำวิธีการตรวจสอบความเร็วและหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดที่มักเกิดขึ้นขณะที่คุณทำการตรวจสอบ Wi-Fi


1.อย่าใช้เครื่องมือ Speed Test ผิดประเภท
เครื่องมือ Speed test มีหลากหลายผู้ให้บริการ หากว่าคุณต้องการตรวจสอบว่า Wi-Fi ของคุณเร็วพอจะใช้ในการสตรีมบริการอย่าง Netflix ก็แนะนำให้เข้าไปที่ Fast.com ถึงมันจะไม่ได้มีรูปลักษณ์ที่อลังการ แต่มันก็วัดความเร็วในการสื่อสารกับเซิร์ฟเวอร์ Netflix ได้อย่างแม่นยำ

 

อีกทางเลือกก็คือ การใช้ Speed Test ออนไลน์จากเครื่องพีซีหรือเดสก์ทอป รวมถึงการใช้แอพ Speedtest จาก Speedtest.net ซึ่งเป็นที่ยอมรับและเข้าถึงได้ง่าย


2.อย่าทดสอบ Wi-Fi ผิดเวลา
หนึ่งในปัจจัยที่ใหญ่ที่สุดและมีผลต่อความเร็วอินเทอร์เน็ตก็คือ ผู้ใช้งานจำนวนมากเข้าสู่ระบบในเวลาเดียวกันหรือเรียกง่ายๆ ก็คือ ชั่วโมงเร่งด่วน เช่น ช่วงเย็นๆ ที่ผู้คนกลับบ้านแล้วรับชมวิดีโอหรือซีรีส์ผ่านบริการออนไลน์ต่างๆ คุณจะพบว่า มันมีความเร็วที่ช้าลงมากเมื่อเทียบกับเวลาปกติ ดังนั้นคุณควรไปหาเวลาชั่วโมงอื่นๆ ที่มีการใช้งานไม่มากนัก


3.อย่าทดสอบความเร็วแค่ครั้งเดียว
เพื่อให้ได้ภาพของความเร็วที่แม่นยำ คุณต้องทำการทดสอบความเร็วมากกว่าหนึ่งครั้ง เนื่องจากความเร็วมีการผันผวนเกือบจะตลอดเวลา ถ้าคุณทำการทดสอบ 2 ครั้งในสภาพแวดล้อมเดียวกัน ผลลัพธ์ที่ได้อาจจะแตกต่างกัน ดังนั้นควรทำอย่างน้อย 3 ครั้ง ในบางทีอาจต้องใช้เวลาหลายวันกว่าจะสร้างผลลัพธ์ในเกณฑ์เฉลี่ยออกมาได้ แต่วิธีการนี้จะช่วยให้คุณมองเห็นความเร็วอินเทอร์เน็ตผ่าน Wi-Fi ภายในบ้าน ณ จุดที่ต้องการได้อย่างแม่นยำ

4.อย่าทดสอบผิดตำแหน่ง
การเลือกตำแหน่งที่เหมาะสมจะช่วยให้ผลลัพธ์ของการตรวจสอบ Wi-Fi มีความแม่นยำ ตำแหน่งที่เหมาะสมขึ้นอยู่ว่า คุณกำลังต้องการจะวัดอะไร

หากต้องการวัดความเร็วสูงสุด : ในกรณีที่คุณออกห่างจากเราเตอร์ ความเร็วของ Wi-Fi จะลดลงไปด้วย ดังนั้นคุณควรอยู่ในระยะใกล้ๆ หรืออยู่ในห้องเดียวกับจุดปล่อยสัญญาณโดยที่ไม่มีอะไรมากีดขวาง

หากต้องการหาตำแหน่งที่ดีที่สุดให้กับเราเตอร์: ทำการทดสอบความเร็วในทุกๆ ห้อง จากนั้นเปรียบเทียบผลลัพธ์ เท่านี้เราจะมองเห็นว่าแต่ละห้องนั้นมีสภาพของ Wi-Fi เป็นเช่นไร สัญญาณไปถึงในระดับใดและให้ค่าการสื่อสารอินเทอร์เน็ตดีแค่ไหน จากนั้นปรับเสาสัญญาณหรือย้ายตำแหน่งเราเตอร์ให้สามารถกระจายสัญญาณไปยังห้องต่างๆ ได้ดีขึ้น

หากต้องหาตำแหน่งที่สัญญาณอ่อนแอ: ทำการทดสอบในจุดต่างๆ ที่เคยพบว่ามีปัญหา หากว่ามันย่ำแย่จนใช้การไม่ได้และไม่สามารถปรับตำแหน่งเราเตอร์ได้แล้ว ต่อไปคุณต้องมองหาวิธีอื่นในการขยายสัญญาณ Wi-Fi

5.อย่าลืมรีบูตเครื่องพีซี
โน้ตบุ๊กหรือเครื่องพีซีสามารถใช้ Speedtest ผ่านบราวเซอร์ได้ แต่แนะนำให้รีบูทมันก่อนเสมอ เนื่องจากอุปกรณ์ที่ไม่ได้รีสตาร์ทเป็นเวลานานจะมีการทำงานเบื้องหลังตกค้างอยู่ ซึ่งอาจมีการทำงานช้าลงและส่งผลต่อค่า Ping นอกจากนั้นเมื่อเข้าสู่ระบบแล้ว เช็คให้แน่ใจว่า ไม่มีแอพฯ ใดๆ เปิดใช้งานเมื่อเริ่มต้นเข้าระบบ (ยกตัวอย่างแอพฯ ประเภทคลาวด์ออนไลน์เพื่อทำการซิงค์ข้อมูล) รวมถึงปิดซอฟต์แวร์ป้องกันไวรัสชั่วคราวไว้ก่อนจะวัดความเร็วเสร็จสิ้น


6.เช็คให้ดีไม่มีอุปกรณ์ใดดาวน์โหลดข้อมูลอยู่
การวัดความเร็ว Wi-Fi จะประเมินความเร็วในขณะที่กำลังทดสอบเท่านั้น ด้วยเหตุผลนี้ควรจะให้แบนด์วิดธ์สูงสุดกับอุปกรณ์ที่ทดสอบ แน่นอนว่า อุปกรณ์ภายในบ้านที่เชื่อมกับเราเตอร์นั้นมีอยู่มากมายและมันก็แบ่งแบนด์วิดธ์ออกไปด้วย ส่งผลให้เครือข่ายล่าช้าตามไปด้วย เพื่อให้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ทำการปิดหรือตัดการเชื่อมต่ออื่นๆ เท่าที่จะทำได้ให้มากที่สุด หรือตรวจสอบให้แน่ใจว่าไม่มีใครดาวน์โหลดหรืออัพโหลดไฟล์ขนาดใหญ่อยู่


7.อย่าทดสอบขณะใช้งาน VPN
สุดท้ายตรวจสอบให้แน่ใจว่า คุณไม่ได้เปิดใช้  VPN, Proxy หรือเซอร์วิสอะไรก็ตามที่คั่นกลางระหว่างอุปกรณ์กับเครือข่ายอินเทอร์เน็ต เพราะสิ่งเหล่านี้มีผลทำให้การสื่อสารล่าช้า ผลลัพธ์ที่ได้จะขาดความแม่นยำ

เมื่อได้ผลทดสอบแล้วควรจะทำอย่างไรต่อไป

การทดสอบความเร็วของเครือข่าย Wi-Fi มีประโยชน์หลายอย่าง อาทิ

  • คุณใช้อินเทอร์เน็ตได้เร็วตามที่คุณได้จ่ายเงินไปหรือไม่
  • การตั้งค่าเราเตอร์เหมาะสมกับอุปกรณ์ที่ใช้แค่ไหน
  • การกระจายสัญญาณของเราเตอร์ครอบคลุมพื้นที่บ้านตามที่ต้องการหรือไม่
  • ความเร็วที่เกิดขึ้นเร็วพอกับความต้องการของคุณหรือยัง
  • ตรวจสอบว่าอุปกรณ์อื่นๆ อย่างพวก Set top box หรือเกมคอนโซลได้รับความเร็วที่ดีแค่ไหน
  • รับรู้ว่าเวลาใดเป็นชั่วโมงเร่งด่วนและอินเทอร์เน็ตของ ISP ตอบสนองได้ดีแค่ไหน

เมื่อการทดสอบเสร็จสิ้น คุณอาจพบว่า อินเทอร์เน็ตของคุณไม่เร็วเท่าที่ควร และหากผลลัพธ์ไม่เป็นที่น่าพอใจก็ถึงเวลาที่จะต้องมองหาสาเหตุที่ทำให้การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตล่าช้า อาจจะเป็นที่การตั้งค่าเราเตอร์ มาตรฐานของ Wi-Fi หรืออุปกรณ์ปลายทาง จากนั้นก็เป็นหน้าที่ๆ คุณต้องค้นหาและแก้ไขมัน


อย่างที่กล่าวไว้ตอนต้น การทดสอบด้วย Speed Test ไม่ได้วัดประสิทธิภาพของเครือข่าย Wi-Fi โดยตรง แต่เป็นการวัดประสิทธิภาพของ Wi-Fi ในการให้บริการอินเทอร์เน็ตว่า คุณสามารถใช้บริการอินเทอร์เน็ตจาก ISP ได้ดีจริงแค่ไหนเมื่ออยู่ในแต่ละจุดของบ้าน ยิ่งกรณีที่คุณไม่ได้ใช้เราเตอร์ที่ผู้ให้บริการให้มา แต่ใช้เราเตอร์ของตัวเองที่มีประสิทธิภาพเหนือกว่าอย่างเช่น มาตรฐาน AC หรือ AX สเปคสูงๆ ความเร็วสูงสุดที่คุณวัดได้จะขึ้นอยู่ที่ความเร็วของแพคเกจอินเทอร์เน็ต อย่างเช่น ใช้แพคเกจ 200M/200M ความเร็วสูงสุดที่ Speed Test วัดได้ก็จะไม่เกิน 200Mbps ทั้งสองขา ซึ่งในความจริง หากอุปกรณ์ของคุณคือ iPhone 11 Pro  Max ความเร็วในการสื่อสารของ Wi-Fi ที่แท้จริงจะทำได้สูงกว่านั้นมาก